เขียนและถ่ายภาพโดย: อติรุจ ดือเระ
ศาสนาและการอยู่ร่วมกัน:ประสบการณ์จากสามจังหวัดชายแดนใต้
ช่องว่างระหว่างศาสนาลดลงกลายเป็นศูนย์
ไอซ์ : สมัยเรียนประถมเราก็เคยรู้สึกแปลกแยกจากคนไทยพุทธ และไม่ค่อยชอบเขาน่ะ เขาต่างจากเรา เราจะเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้ เหมือนไปซื้อของกับเเม่ที่ตลาดหรือร้านค้า ตอนนั้นจำได้ว่าเรารู้สึกไม่อยากพูดคุยหรือส่งยิ้มให้เขาเลย แต่เมื่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเราเข้าศึกษาที่โรงเรียนคณะราษฎร์เรื่อยมาจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อนในห้อง 90% นับถือศาสนาพุทธ เริ่มเเรกเรากลัวมากว่าจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ จะไม่มีใครคบ เเต่เเล้วมุมมองของเราก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเรารู้จักและสนิทกับเพื่อนไทยพุทธมากขึ้นผ่านกิจกรรมด้วยกันทั้งในเเละนอกห้องเรียน ตัวอย่างเช่นเมื่อถึงเทศกาลวันกวนอาชูรอ (การกวนขนมของชาวมุสลิม) ในช่วงต้นปีใหม่ตามปฏิทินฮิจเราะห์ศักราช เพื่อนๆไทยพุทธก็มาร่วมกวนเเละรับประทานกับเราน่ะ สิ่งใดร่วมกันได้เราก็ร่วม ส่วนใดมีขอบเขตเราก็ไม่ล่วงล้ำกัน อีกประการที่เราสัมผัสได้คือเพื่อนต่างศาสนาจะให้เกียรติในประเด็นความต่างมากๆ ขณะนั่งโต๊ะอาหารด้วยกันไม่เคยมีใครล้อเรื่องกินหมูกับเราเลย เพื่อนๆกลับไม่สั่งมากินด้วยซ้ำ เขาบอกไม่อยากให้เราไม่สบายใจ ขณะที่ละหมาดหลายครั้งก็มีเพื่อนต่างศาสนิกไปนั่งรอ ประสบการณ์เเละการได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆทำให้อคติที่เราเคยมีค่อยๆเลือนหายไป ช่องว่างระหว่างศาสนาลดลงกลายเป็นศูนย์ และไม่เคยมีใครพูดถึงมันอีกเลย เราพูดกันเรื่องความรัก ความสุข ที่เที่ยวและเรื่องอื่นๆโดยไม่แบ่งแยกศาสนา
อย่างไรก็ตามยังมีคนในพื้นที่อีกไม่น้อยที่ไม่ได้สัมผัสเรื่องราวเหมือนกับเรายังคงมีอคติต่อกันอยู่ ยิ่งเมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น เเละมีการใช้ศาสนามาเเอบอ้าง เช่นฝั่งมุสลิมทำ
หรือฝั่งไทยพุทธ ความขัดเเย้งก็เหมือนจะคุกกรุ่นอยู่บ้าง เเม้ไม่มากก็ตาม
กีตาร์ : ในพื้นที่ๆเราเติบโตมาการแบ่งแยกทางศาสนาไม่เคยมี อย่างเวลามีงานประเพณีหรือเทศกาลต่างๆ เช่น
วันฮารีรายอของชาวมุสลิม ผู้อาวุโสเขาจะแจกเงินหรือขนมแก่เด็กๆมุสลิม
เราเป็นไทยพุทธเเต่ก็ได้รับตลอดน่ะ เหมือนเขามองเราว่าเป็นลูกหลานคนหนึ่งเช่นกัน
วันนั้นบ้านของชาวมุสลิมยังทำขนมหลากหลายนิดเพื่อต้อนรับเเขกที่มาเยือน เช่น ข้าวต้มมัด หรือบุหงาปูดะ
ซึ่งครอบครัวของเรามักจะได้รับการเชื้อเชิญให้เป็นเเขกไปรับประทานขนมอร่อยเหมือนกับชาวมุสลิมคนอื่นๆ
ส่วนเรื่องพิธีกรรมเช่นเสียงอาซานจากลำโพงมัสยิด
หรือเสียงระฆังจากวัดก็ไม่มีใครนำมาเป็นประเด็นสร้างปมขัดเเย้ง เหมือนทุกคนในชุมชนจะรับได้
อาจเพราะเปิดใจรับหรือความเคยชินเเล้วเเต่คนไป ส่วนร้านค้าที่เจ้าของเป็นชาวพุทธก็จะมีคนอิสลามไปช่วยอุดหนุนตามปกติ ตราบใดที่สินค้านั้นไม่ได้ขัดต่อหลักศาสนา ตลาดเเถวบ้านเช่นตลาดนัดดุสน นี่เรียกว่าตลาดพหุวัฒนธรรมได้เลย
มีคนหลายศาสนามาขายเเละซื้อสินค้าร่วมกัน
นอกจากชาวไทยมุสลิมเเล้ว ยังมีชาวจีนอีกน่ะที่เอาศัยร่วมกับเราในชุมชน
ซึ่งเเน่นอนว่าวิถี คติความเชื่อก็ต่างไปจากเรา
เเต่เมื่อถึงวันตรุษจีน มีการเเจกอังเป๋า เราก็ได้รับเหมือนกัน เขาให้เพราะความรัก เพราะเห็นเรามาเเต่เล็กๆ
ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
ไอซ์ : โดยส่วนตัวไม่ชอบการเหยียดศาสนา
และไม่เคยเอาประเด็นศาสนามาล้อเล่น ใส่ร้ายหรือลบหลู่คนที่ต่างจากเรา
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งในพื้นที่สามจังหวัดเองหรือพื้นที่อื่นๆบนโลก
ก็ไม่อยากให้โยงเกี่ยวกับศาสนา อยากให้ประณามตัวบุคคลมากกว่า
เพราะศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่อยู่ที่ว่าใครจะทำตามมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
กีตาร์ : การเหยียดศาสนาเป็นสิ่งที่เลวร้าย
ละเมิดสิทธิเสรีภาพและไม่เคารพความแตกต่างประเภทหนึ่ง ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าศาสนาผิด
ตัวบุคคลต่างหากที่แอบอ้างประเด็นศาสนามาเป็นข้ออ้างในการก่อความไม่สงบหรือสร้างความแตกแยก
ซึ่งหากเราอินไปกับการเหยียดศาสนาหรือกล่าวร้ายกัน เราก็จะเป็นคนที่สนับสนุนให้เกิดความแตกแยกในสังคมไปโดยอัตโนมัติ
เปิดใจและยอมรับ
ไอซ์ : การเปิดใจและยอมรับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คนต่างศาสนิกอยู่ร่วมกันได้
โดยต้องยอมรับในตัวตน ความเชื่อ
และให้เกียรติคนที่เชื่อต่างไปจากเรา ไม่นำประเด็นศาสนามาเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างกัน ทั้งยังควรแบ่งปันช่วยเหลือกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
กีตาร์ : ความเข้าใจกัน และลดความคลั่งศาสนาให้น้อยลง
โดยเข้าใจในทุกๆสิ่งที่คนอื่นๆทำ เช่น
เข้าใจว่าชาวมุสลิมต้องอาซานวันละห้าเวลา ชาวจีนต้องกินเจ หรือชาวพุทธจัดงานวัด
ความเข้าใจจะช่วยให้อคติหายไป อย่างไรก็ตามเราก็ต้องเรียนรู้ศาสนาอื่นเป็นอันดับแรกจึงจะเข้าใจอย่างแท้จริง
ความแตกต่างทางศาสนามีอยู่เกือบทุกที่บนโลก เปรียบเสมือนดอกไม้หลากสีที่ต่างเบ่งบานและงดงามในตัวมันเอง
ยุคสมัยปัจจุบันซึ่งวัฒนธรรม ความเชื่อ
และคลื่นผู้คนไหลบ่าอย่างไม่มีเขตกั้น หากมองความแตกต่างทางศาสนาเป็นปัญหา
เราคงอาศัยร่วมกับผู้คนที่หลากหลายได้อย่างลำบากใจ แต่หากเปลี่ยนมุมมองว่าความแตกต่างเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้
เราก็คงอาศัยร่วมกับทุกความแตกต่างได้อย่างไม่น่ากังวลนัก เสมือนมุมมองของไอซ์เละกีตาร์ที่มีต่อสังคมของตนเอง